เคยสงสัยไหม ทำไมทั้ง 2 เมืองนี้ถึงไม่ลงรอยกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นเมืองเพื่อนบ้านกันแท้ ๆ
และรู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วมีประเด็นอื่นอีกที่ทำให้ทั้ง 2 เมืองนี้เป็นคู่อริกันมาตั้งแต่สมัยก่อนที่จะมีทีมฟุตบอลก่อตั้งขึ้นมาซะอีก!
ก่อนที่จะไปตอบคำถาม ต้องพูดถึงตำแหน่งที่ตั้งของทั้ง 2 เมืองนี้ก่อน โดยทั้งเมืองแมนเชสเตอร์ และ ลิเวอร์พูล ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ โดยมีระยะห่างกันเพียง 56 กิโลเมตรเท่านั้น เรียกได้ว่าหากจะขับรถจากเมืองลิเวอร์พูลไปแมนเชสเตอร์ เราจะใช้ระยะเวลาเพียง 1 ชม.นิด ๆ เท่านั้นเอง
นอกจากตำแหน่งเมืองที่อยู่ใกล้กันแล้ว ทั้ง 2 เมืองนี้ยังมีอะไรที่คล้ายกันอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ของคนส่วนมากที่มาจากประเทศไอร์แลนด์ มีวงดนตรีชื่อดังอย่าง The Beatles และ Oasis ถือกำเนิดขึ้น และทั้ง 2 เมืองนี้ก็ยังเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญมาก ๆ ของประเทศอังกฤษเช่นเดียวกันอีกด้วย
ย้อนเวลากลับไปช่วงวิกตอเรียน หรือช่วงการปฏิวัติอุสาหกรรม (Industrial Revolution) ระหว่างปี ค.ศ. 1760 - 1850 ในช่วงนั้นเศรษฐกิจสำคัญของประเทศอังกฤษคือการนำเข้าส่งออกสินค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะฝ้าย ที่รับมาจากเมืองอาณานิคม เช่นประเทศอินเดีย โดยเมืองลิเวอร์พูลที่ตั้งอยู่ติดทะเล(เมืองท่า) จะเป็นเมืองที่ได้รับความเจริญรุ่งเรืองจากการนำเข้าส่งออกสินค้า ในขณะเดียวกัน เมืองแมนเชสเตอร์ที่ตั้งถัดเข้าไปในแผ่นดิน ก็กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่โดดเด่นในเรื่องของการใช้เครื่องจักรในการผลิตสินค้า จึงไม่แปลกใจว่าทำไมทั้ง 2 เมืองนี้จึงกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของอังกฤษ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เมืองลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ดูจะเป็นเมืองที่มีการพึ่งพาอาศัยกัน ไม่น่าจะมีความบาดหมางอะไรเกิดขึ้นได้
แต่สิ่งที่จุดประกายความเกลียดชังระหว่างคนทั้ง 2 เมืองนี้จริง ๆ เริ่มต้นขึ้นจากการที่ชาวสเกาเซอร์ (ชาวเมืองลิเวอร์พูล) ไปพูดถากถางชาวแมนคูเนียน (ชาวเมืองแมนเชสเตอร์) ว่าเป็นเพียงชนชั้นแรงงาน ต้องรอวัตถุดิบจากเมืองลิเวอร์พูลเท่านั้นเพราะไม่มีทางออกทะเล ในขณะเดียวกันทางชาวแมนคูเนียนเองก็สวนกลับว่า สเกาเซอร์เป็นพวกไม่เอาถ่าน เพราะไม่หยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้เกิดวลีเด็ดในการด่าอย่างคำว่า “Lazy Scousers”
นอกจากการพูดจาดูถูกเหยียดหยามไปมาระหว่างกันแล้ว เมืองลิเวอร์พูลยังเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางที่แพงเกินความจำเป็น สิ่งเหล่านี้เองจึงกลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวเมืองแมนคูเนียนเกิดความคิดที่จะขุดคลองเองเพื่อที่จะได้มีทางออกสู่ทะเล
จนกระทั่งในปี 1984 เหล่านายทุนโรงงานอุตสาหกรรมเมืองแมนเชสเตอร์ ตัดสินใจซื้อที่ดินเป็นความยาวกว่า 58 กิโลเมตร ตั้งแต่บริเวณที่เรียกว่า Wirral Hill ไปจนถึงบริเวณ Salford เพื่อขุดคลองที่มีชื่อว่า Manchester Ship Canal หลังจากการขุดคลองนี้ทำให้เมืองแมนเชสเตอร์สามารถนำเรือบรรทุกสินค้าตรงเข้ามาได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านเมืองลิเวอร์พูลอีกต่อไป
จากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลให้เมืองลิเวอร์พูลที่เคยเป็นเมืองท่าอันยิ่งใหญ่จากการค้าขาย และการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง กลับต้องเจอกับสถานการณ์ตกที่นั่งลำบาก ชาวเมืองส่วนใหญ่ทยอยตกงาน สิ่งเหล่านี้ยิ่งทวีคูณความเกลียดชังระหว่างเมืองทั้งสองเข้าไปอีก
แต่จริงๆ แล้วการเหยียดกันที่เกิดขึ้นนี้ เป็นการเหยียดกันระหว่างคนชั้นสูง หรือพวกนายทุนเท่านั้น ชาวเมืองทั่วไป รวมไปถึงชนชั้นแรงงานไม่ได้มีความคิดนี้เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ชาวเมืองทั้ง 2 เมืองเริ่มมีการเย้ยหยันกันมากขึ้นเกิดขึ้นมาจากเรื่องฟุตบอลนั่นเอง
แล้วเหตุผลอะไรหล่ะ ที่ทำให้ทั้งสองทีมถูกนำมาเปรียบเทียบ และถูกเอ่ยชื่อถึงอยู่บ่อยครั้งทั้ง ๆ ที่ในเมืองลิเวอร์พูลเอง ก็มีสโมสรอยู่หลายทีม เช่น สโมสรเอฟเวอร์ตัน ที่ก่อตั้งมาก่อน หรืออย่างในเมืองแมนเชสเตอร์เองก็มีสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้
นั่นเป็นเพราะว่าสมัยก่อนความสำเร็จของของทีมฟุตบอลอังกฤษ มีเพียงสองสโมสรนี้เท่านั้น จึงไม่แปลกใจว่าทำไมสองทีมนี้ ถึงถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นอยู่บ่อย ๆ นอกจากเป็นทีมที่มีฝืมือสูสีกันแล้ว ทั้งสองทีมยังเป็นทีมที่ค่อนข้างเก่าแก่ โดยทีมแมนยู ก่อตั้งก่อนในปี 1878 ตามมาด้วยทีมลิเวอร์พูลที่แยกออกมาจากทีมเอฟเวอร์ตัน ในปี 1892
และเกมสำคัญที่ทำให้ทั้งสองทีมเริ่มเขม่นกัน เกิดขึ้นจากการแข่งขันฟุตบอลแมตช์ใหญ่ที่สุดของอังกฤษที่เรียกว่า The Football League First Division ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ในช่วงปี 1888 โดยเกมแดงเดือดครั้งแรกนั้นฝ่ายลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ในปี 1901 ในส่วนของทีมแมนยูที่ถึงแม้จะเป็นทีมที่ก่อตั้งนานก่อนถึง 14 ปี กลับพึ่งได้ครองแชมป์ครั้งแรกในปี 1908
หลังจากนั้นเอง ทั้งทีมลิเวอร์พูลและแมนยูต่างก็แข่งขันกันมาโดยตลอด โดยแต่ละทีมต่างก็มียุคทองของตัวเองกันทั้งนั้น อย่างทีมลิเวอร์พูลเองก็โด่งดั่งอย่างมากในช่วง ศตวรรษที่ 20 จากการชนะ First Division ไปถึง 18 ครั้ง หรือทางฝั่งของทีมแมนยูเองที่กลับมาคว้าชัยชนะอย่างล้นหลาม หลังจากการเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น Sir Alex Ferguson โดยชนะรางวัลรวมไปถึง 20 ครั้งจาก Premier League 13 ครั้ง และรางวัลจากรายการ First Divison อีก 7 ครั้ง
เหตุการณ์นี้ทำให้ในช่วงหลังลิเวอร์พูลพบกับจุดตกต่ำและกว่าจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงได้อีกครั้งก็ปาเข้าไปปี 2020 กับการชนะรายการ Premier Leauge ครั้งแรก ด้วยฝีมือของผู้จัดการทีมใหม่อย่าง Jürgen Klopp
อีกประเด็นที่ทำให้แฟนคลับของทั้งสองทีมนี้ต่างมีข้อโต้เถียงเกิดขึ้นส่วนหนึ่งก็มาจากเพลงประจำสโมสรลิเวอร์พูลอย่างเพลง You’ll Never Walk Alone ตั้งแต่ปี 1963 ซึ่งเพลงนี้เองก็มีการถกเถียงกันถึงที่มาว่าใครเป็นคนแรกที่นำเพลงนี้มาใช้
และถึงแม้ว่าทั้งสองทีมนี้จะมีการแข่งขันหรือการเหยียดกันมาตลอดนับหลายสิบปี แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองทีมนี้ต่างก็เคยแสดงออกถึงน้ำใจนักกีฬาอย่างเหตุการณ์ที่มีการผิดพลาดในการลำเลียงผู้ชมเข้าสนามในปี 1989 เหตุการณ์นี้ได้คร่าชีวิตของแฟนบอลของลิเวอร์พูลไปถึง 96 ชีวิตซึ่งทางแฟนคลับทีมแมนยูก็แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้เราเห็นว่าถึงแม้ทั้งสองทีมจะมีการแขวะหรือทะเลาะตบตีกันอยู่บ้างแต่หากตัดเรื่องการแข่งขันฟุตบอลออกไป พวกเราทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนมนุษย์ ส่วนแฟนบอลไทยอย่างเรา ๆ ก็อย่าไปล้อกันมาก เวลาทีมใดทีมหนึ่งแพ้ เพราะฟุตบอลก็เป็นเพียงแค่ลูกกลม ๆ ลูกหนึ่งเท่านั้นเอง
Source | https://bit.ly/3mQDXxD, https://bit.ly/3k5Wt38
RUOK