ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่าโฆษณาเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วในแต่ละยุคโฆษณามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
เห็นได้ชัดว่าธุรกิจโฆษณาเป็นธุรกิจที่ทรงพลังธุรกิจหนึ่งของโลก เนื่องจากมันมีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกของผู้รับชม มากไปกว่านั้นโฆษณายังเปรียบเสมือนเครื่องมือที่เหล่าผู้ผลิตเลือกใช้เพื่อสื่อสาร และขยายธุรกิจให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทุกวันนี้เราจะเห็นโฆษณาอยู่ได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตามท้องถนน หรือสื่อโซเชียลมีเดียที่เราใช้อยู่เป็นประจำ
โดยโฆษณาชิ้นแรกที่ปรากฎสู่สายตาผู้คนเกิดขึ้นในปี 1704 จากการลงโฆษณาบทความยาวลงหนังสือพิมพ์ Bofton Newsletter ก่อนที่จะมีการพัฒนามาเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันก็ผ่านมากกว่า 27 ปีแล้วที่ Online Advertising เกิดขึ้นมา ซึ่งในปัจจุบันรูปแบบในการสื่อสารได้มีการปรับเปลี่ยนไปให้มีความน่าดึงดูดและสามารถโต้ตอบกันได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบสปอนเซอร์คอนเทนต์ หรือ Banner Digital Advertising ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่าสื่อโฆษณาค่อย ๆ มีการปรับตัวตามยุคสมัย แต่ก็ยังคงมีสื่อชนิดหนึ่งที่ยังคงได้รับความนิยมและถูกหยิบยกมาใช้อยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือสื่อสิ่งพิมพ์ หรือ Print Ads นั่นเอง
ในแต่ละยุคสื่อสิ่งพิมพ์ต่างก็มีสไตล์ในการสื่อสาร และการออกแบบที่แตกต่างกันออกไป Dope Eyes จะพาทุกคนเดินทางย้อนเวลากลับไปดูวิวัฒนาการ 100 ปีของโฆษณาสิ่งพิมพ์กัน!
1910s
Print Ad ในช่วงทศวรรษที่ 1910 นี้ส่วนใหญ่จะเน้นตัวหนังสือและข้อความเป็นหลัก โดยตัวอย่างของสื่อโฆษณาที่เป็นที่รู้จักในช่วงทศวรรษนี้คือโฆษณา “US Army” (1918) Print Ad ของอเมริกาที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกจาก Copy ที่เราเห็นกันจนชินตาคือ “I want you for U.S. Army” และนอกจากคำพูดที่เป็นที่จดจำกันแล้ว เรายังคุ้นตากันกับคุณลุงที่ใส่หมวกสีลายธงชาติอเมริกัน หรือลุงแซม (Samuel Wilson) ผู้เป็นต้นแบบของ Propaganda หรือโฆษณาชวนเชื่อที่โด่งดังนี้อีกด้วย
1920s
ในช่วงปี 1920 นี้ ถึงแม้ Print Ad ยังคงรูปแบบที่เน้นข้อความหรือ Copy เอาไว้อยู่ แต่ก็เริ่มมีการนำรูปภาพเข้ามามีในสื่อสิ่งพิมพ์มากขึ้นเช่นกัน โดยเราจะเห็นว่าการจัดวางภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ในยุคนี้จะมีการบาลานซ์พื้นที่ว่างกับกับองค์ประกอบอื่น ๆ ของภาพมากขึ้นซึ่งทำให้โฆษณาในช่วง 1920 นี้ดูอ่านง่ายกว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
1930s
ช่วงทศวรรษที่ 1930s นี้เป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททิ้งดิ่ง (Wall Street Crash of 1929) ในปี 1929 เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาเผชิญกับจุดตกต่ำครั้งร้ายแรงที่สุดจนนำไปสู่จุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่ หรือ The Great Depression ที่กินระยะเวลายาวนานกว่า 12 ปี
จากเหตุการณ์นี้เองทำให้วงการโฆษณาชะลอตัวลง ส่งผลให้ Print Ad ในช่วงนี้มีสไตล์ที่แตกต่างไปจากในช่วง 20s แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังมีบางบางบริษัทที่ยังสามารถเติบโตและก้าวข้ามเหตุการณ์ The Great Depression นี้ไปได้ ไม่ว่าจะเป็น Coca-Cola ที่เปิดตัวแคมเปญโฆษณาบนวิทยุในช่วงคริสมาสต์ซึ่งเนื้อหาของโฆษณาเป็นการตั้งคำถามให้ผู้คนสงสัยว่าทำไม Santa Claus อยู่ในชุดแค่สีแดงและสีขาว ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดนี้เองทำให้ในช่วงปีนั้นในขณะที่หลาย ๆ บริษัทกำลังเผชิญกับวิกฤต แต่หุ้นของ Coca-Cola กลับพุ่งทยานสูงถึง 700% ในระหว่างปี 1933-1940
1940s
โฆษณาสิ่งพิมพ์ในช่วง 40s นี้เริ่มที่จะนำภาพใช้มากขึ้นไปอีก บางชิ้นถึงกับเลี่ยงการใส่ข้อความอื่น ๆ เพื่อที่จะเน้นเฉพาะรูปภาพและสโลแกนหลักของภาพ นอกจากนี้ Print Ad ในยุคนี้เริ่มมีการใช้พื้นที่ว่าง หรือ Negative Space มากขึ้น
อีกหนึ่งโฆษณาดังจากยุค 40s ก็คงจะหนีไม่พ้นโฆษณาของ War Production Co-ordinating Committee (1942) ซึ่งวาดโดย เจ. โฮเวิร์ด มิวเลอร์ (J. Howard Miller) โฆษณา We Can Do It! เป็นภาพที่ทำให้ผู้หญิงที่สามีไปออกรบในสหรัฐอเมริการิเริ่มที่จะออกมาทำงานนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอาวุธสงคราม หรือการเข้าไปทำงานที่โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผลงานชิ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นโฆษณาแรก ๆ เลยที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ จนทำให้ผู้หญิงมีสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกับผู้ชาย
1950s
ช่วงทศวรรษที่ 1950 นี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงแห่งการทดลองของสื่อสิ่งพิมพ์เลยก็ว่าได้ เป็นการทดลองการจัดวาง Layout ในรูปแบบใหม่ซึ่งส่วนมากเราก็ยังคงนำการจัดวางดังกล่าวมาใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยจุดเด่นของ Print Ad ในยุคนี้คือเริ่มมีการย้ายตำแหน่งข้อความ หรือ Copy ไปอยู่ในส่วนล่างของภาพแทนเพื่อเพิ่มความสมดุลระหว่างภาพและข้อความ
1960s
ในยุค 1960 นี้หากจะไม่พูดถึงโฆษณา "Think Small" ของ Volkswagen ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะโฆษณาชิ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นผลงาน "การปฏิวัติเชิงสร้างสรรค์ (Creative Revolution)" แห่งยุค 60 และ 70 กันเลยทีเดียว
โดยเราจะเห็นได้ว่า Print Ad ส่วนใหญ่ในยุคนี้มีการให้ความสำคัญกับ Big Idea มากขึ้น จากการที่เราเริ่มเห็นการออกแบบที่มีความทันสมัยและมีการแบ่ง Headline และเนื้อหาให้มีความสมดุลมากขึ้น
1970s
Print Ad ในยุค 70s นี้มักใช้ภาพถ่ายที่มีสีโทนสว่างสดใสควบคู่ไปการพาด Headline และเนื้อหาที่มีขนาดใหญ่ แต่ภาพรวมยังคงคอนเซ็ปต์ที่คล้าย ๆ กับยุค 60s
1980s
การจัดวางองค์ประกอบโฆษณาในยุค 80s นี้มีความเรียบง่ายกว่าที่เราเคยเห็นกันมา โดยเราจะไม่ค่อยเห็นข้อความ (Copy) มากเท่าในยุคอื่น และที่สำคัญในยุคนี้เป็นยุคที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิงเป็นหลักจากการที่เราจะเห็นโฆษณาส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำหรับผู้หญิง
1990s
ความเรียบง่ายในยุค 80s ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อ Print Ad ในยุค 90s จะเห็นได้ว่าโฆษณาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยแตกต่างกับยุค 80s มากนัก แต่ในยุคนี้เองก็เป็นต้นกำเนิดของแคมเปญโฆษณาดังอย่าง “Just Do It” ของ Nike และ “Got Milk?” ของ California Milk Processor Board
2000s
ในศตวรรษที่ 21 นี้จะเน้นไปที่ความเรียบง่าย เรียกได้ว่ายิ่ง Minimal เท่าไหร่ได้ยิ่งดี โดยเราจะเห็นได้ว่าโฆษณาในยุคนี้แทบจะไม่มีข้อความ หรือตัวหนังสืออื่นนอกจาก Logo ของแบรนด์ที่ปรากฏอยู่ส่วนล่างของภาพ
2010s
การใช้ข้อความน้อย และความเรียบง่ายในการจัดวางองค์ประกอบเป็นสิ่งที่ Print Ad ในช่วง 2010s นี้ได้รับอิทธิพลมาจากช่วงยุค 2000s และยังคงเป็นจุดเด่นของโฆษณาในยุค 2010s เลือกใช้ แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือในยุค 2010s นี้จะให้ความสำคัญกับภาพที่มีความคมชัดสูง หรือ High Resolution เพื่อใช้เป็นจุดเด่นในการขายสินค้า นอกจากนี้ภาพที่ใช้ยังเป็นแนวเซอร์เรียล (Surrealist Imagery) หรือภาพเหนือความจริง
2020s
ในช่วงปี 2020s นี้แนวทางของ Print Ad ก็ยังคงความ Minimal เอาไว้อยู่ เรียกได้ว่าคำพูดที่เขากล่าวกันว่า "Less is more" ไม่เคยจางหายไป โดยภาพและข้อความต้องตรงประเด็นและชัดเจนเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายของคนที่ในยุคนี้ไม่ชอบดูอะไรนาน ๆ มากไปกว่านั้น Print Ad ในยุคนี้ต้องมีการปรับตัวเพื่อเข้าสู่ยุค Digital มากขึ้น จะเห็นได้จากในหลาย ๆ Print Ad จะมีการใส่ QR Code เพื่อให้คนสามารถสแกนดูข้อมูลเพิ่มเติมได้
เราจะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลากว่า 100 ปีโฆษณาในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบอยู่เสมอ จากที่ในสมัยก่อนนิยมใช้ข้อความเยอะ กลับเปลี่ยนมาเป็นการเน้นรูปภาพมากกว่า ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าสื่อสิ่งพิมพ์มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตามคำถามที่น่าสงสัยต่อไปก็คือแล้วสื่อสิ่งพิมพ์จะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อได้อย่างไรท่ามกลาง Online Advertising ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้?
Opmerkingen