หากไม่มี SEO การสร้างคอนเทนต์ลงสื่อออนไลน์ก็เปรียบเหมือนการส่งจรวดไปนอกโลกแต่กลับไร้จุดมุ่งหมาย
ลองคิดดูว่าหากเราไม่ได้เจาะจงว่าจรวดที่เราส่งออกไปนั้นจะมีปลายทางไปที่ไหน จรวดที่เราส่งไปคงจะเคว้งคว้างซึ่งนั่นคงจะไม่ใช่การตลาดที่ดีนัก เพราะการตลาดที่ดีนั้นมาพร้อมกับความสามารถในการคาดการณ์เหตุการณ์และข้อมูลบางอย่าง ดังนั้นสิ่งที่เราขาดหายไปในการช่วยให้จรวดของเราจอดลงอย่างปลอดภัยและถูกเป้าหมายนั้นคือการเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO หรือ Search Engine Optimization นั่นเอง
มารู้จัก ‘SEO’

‘SEO’ หรือ ‘Search Engine Optimization’ เป็นส่วนหนึ่งของ Search Engine Algorithm ซึ่งเป็นการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ เนื้อหา และเพิ่ม Backlink ที่มีคุณภาพกลับมาสู่หน้าเว็บไซต์เรา เพื่อทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาบน Search Result Page โดยเมื่อเรากรอก Keyword ผ่าน Search Engine ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google, Bing, หรือ Yahoo! แล้วหน้าเว็บไซต์ของเราจะอยู่อันดับต้น ๆ ของการค้นหา
ถึงแม้ว่าในทุก ๆ Keyword จะมีผลลัพธ์ในการค้นหาหลายพันหน้าและอีกกว่าหมื่นเนื้อหาให้เราได้เลือกเข้าไป แต่ลองคิดดูว่าใครจะกดไปดูสิ่งที่เราจะค้นหาหน้าท้าย ๆ กันละ ใคร ๆ ก็ต้องเลือกกดเข้าไปดูเว็บไซต์ที่ขึ้นอยู่หน้าแรกอยู่แล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นักการตลาดให้ความสำคัญเกี่ยวกับการทำ SEO เพราะทุกหน้าของ Search Engine มีประโยชน์ไม่เท่ากัน
แล้วเราจะไปถึงจุดที่เว็บไซต์ของเราติดหน้า 1 ของผลการค้นหาได้อย่างไร?
โดยการเลือก SEO Keyword ให้เหมาะสมมีหลัก ๆ 2 ขั้นตอน:
1. Ideate Keywords
ก่อนอื่นต้องมารู้กันก่อนว่าในการทำโฆษณาจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Interruption-based และ Intent-based โดย Interruption-based คือโฆษณาที่ขึ้นอยู่บนฟีดข่าวตามโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่นโฆษณาที่คั่นระหว่างย่อหน้าเวลาที่เราอ่านบทความยาว ๆ ซึ่งโฆษณาพวกนี้สามารถเรียกได้อีกอย่างคือ Paid Ads แต่ใน SEO Marketing นี้เราจะโฟกัสในส่วนของ Intent-based หรือ Organic Result มากกว่า อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือโฆษณาที่ขึ้นอยู่นั้นจะขึ้นตามสิ่งที่เราต้องการจะค้นหาโดยที่เราไม่ต้องโปรโมทโฆษณาชิ้นนั้นเลย เช่น เราตั้งใจจะค้นหาคำว่า “Dark Blue Cotton Blanket” โฆษณาที่ขึ้นมาก็จะตรงกับความต้องการของเรา
ดังนั้นเมื่อเราจะเลือกคำที่มาใช้กับสินค้าหรือแบรนด์ของเรา เราก็ควรเลือกใช้คำแบบ Intent-based หรือคำที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของเราโดยตรงมากกว่า โดยเราสามารถเลือก Keyword ได้จากการตั้งคำถามกับกลุ่มลูกค้าของเรา เช่น
ลูกค้าของคุณถามคำถามอะไรเกี่ยวกับสินค้าและแบรนด์ของคุณ?
ลูกค้าของคุณส่วนใหญ่จะใช้คำอะไรในการอธิบายสินค้าหรือแบรนด์ของคุณ?
และเมื่อเราได้คำตอบจากคำถามเหล่านี้แล้ว ให้นำ Keyword ที่ได้ไปที่ https://answerthepublic.com/ เพื่อดูว่ายังมี Keyword อื่น ๆ ที่เราพลาดไปอีกหรือไม่ ซึ่ง Keyword เหล่านี้แหละคือคำที่จำเป็น และควรอยู่ในเนื้อหาและเป็นชื่อหัวข้อของบทความของเรา
2. ค้นหา Keyword ที่ดีที่สุด
หลังจากการที่ได้ List of Keyword มาแล้ว เราก็ต้องมาเลือกว่าคำไหนควรจะเป็นคำที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะเราไม่ควรเลือก Keyword ที่ยากต่อการค้นหาและจัดอันดับ โดยเราสามารถค้นหา Best Keyword ได้จาก Tools ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google KeywordPlanner https://ads.google.com/home/tools/keyword-planner/ , SEMRush https://www.semrush.com/ หรือจะเป็น Ahrefs https://ahrefs.com/

และนี่คือตัวอย่างการค้นหา Keyword ใน SEMRush
นอกจากนี้ปริมาณการใส่ Keyword ก็สำคัญเพราะเราไม่ควรใส่ Keyword ซ้ำมากจนเกินไปในบทความเพื่อป้องกันการเกิด Keyword Spam และหากใส่ Keyword มากเกินไปเวลาที่ผู้ชมมาอ่านเนื้อหาของเราก็อาจจะเกิดความรู้สึกรำคาญแทน
หลังจากเลือก Best SEO Keyword ได้แล้วควรทำอะไรต่อ?
หลังจากที่เราเลือก SEO Keyword ได้แล้วขั้นตอนต่อไปที่เราควรทำคือการสร้างคอนเทนต์ซึ่ง Sale Funnel ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเติมเต็มทำให้ Content ที่เรากำลังสร้างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเราสามารถแบ่งคอนเทนต์ได้เป็น 3 Stage
TOFU (Top-of-funnel content)
เป็น Stage แรกที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาทำความรู้จักกับแบรนด์เรา ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มลูกค้าที่กำลังเจอกับปัญหาและต้องการหาวิธีการแก้ไขปัญหานั้น ดังนั้นหากเราสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ถูกวิธี กลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นก็จะหันกลับมาสนใจเรา
MOFU (Middle-of-funnel content)
เป็น Stage ที่กลุ่มลูกค้าที่เข้ามานั้นเปลี่ยนเป็น Potential Customer แล้ว ซึ่งหมายความว่าแบรนด์ของเรานั้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ในระดับหนึ่ง แต่กลุ่มเป้าหมายนั้นยังคงต้องการข้อมูล และกำลังรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเปรียบเทียบว่าสินค้าหรือแบรนด์ไหนสามารถตอบโจทย์กับปัญหาของพวกเขาได้มากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เราทำได้ก็คือการ Educate ลูกค้าเกี่ยวกับแบรนด์ของเราให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
BOFU (Bottom-of-funnel content)
Stage นี้จะเป็น Stage ที่กลุ่มเป้าหมายกลายมาเป็นกลุ่มลูกค้าของเราแล้ว แต่ยังไม่พร้อมที่จะซื้อสินค้าของเรา สิ่งที่เราทำได้คือการพยายามใช้ Tactic ต่าง ๆ ในการโน้มน้าวจิตใจผู้บริโภค อาจจะเป็นโดยการทำ Demo Video เพื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง หรือการใช้ Influencer ในการโปรโมทสินค้าของเรา
และทั้งหมดนี้คือ SEO Keyword Guide ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับหน้าแรก ซึ่งนอกจากการทำ SEO จะช่วยเพิ่ม Traffic ที่เข้ามาบนเว็บไซต์ของเราได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสลูกค้าให้ห็นเราได้มากขึ้นอีกด้วย
Source | https://bit.ly/3GwwyL4 , https://bit.ly/3GNbtMo
Comments