ใครบ้างล่ะที่จะไม่รู้จักชายคนนี้? ตอบได้เลยว่า น้อยมาก! เพราะผู้คนต่างมองเขาว่าเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก แถมยังมี ‘หัวสมัยใหม่’ ที่พร้อมจะเปลี่ยนโลก ทั้งในฐานะเจ้าของแบรนด์รถไฟฟ้าอย่าง ‘Tesla’ หรือจะเป็นบริษัทขนส่งทางอวกาศ ‘SpaceX’
รวมไปถึงสมญานามสุดท้ายที่ใครหลายคนตั้งให้กับเขาในฐานะ ‘อัจฉริยะคนบ้า’ - บ้ายังไง? กล้าขนาดไหน? ความมั่งคั่งของเขามาจากไหน? เรามาหาคำตอบกัน!
จุดเริ่มต้นความมั่งคั่ง
จากวัยเด็กที่แสนโหดร้าย สู่นักศึกษาเจ้าของบริษัทมูลค่าหมื่นล้าน
วัยเด็กของ Elon นั้นไม่ได้สวยงามนัก หลังจากที่พ่อแม่ของเขาหย่ากัน ทำให้เขาค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว จึงทำให้เขาถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน โดยสิ่งที่เป็นทางสว่างให้กับเขา ณ เวลานั้นคือ ‘เทคโนโลยี’ กับ ‘การอ่านหนังสือ’ เขาหันมาเริ่มสนใจด้านโปรแกรมมิ่ง เพราะเขาชอบเล่นเกม ซึ่งในเวลานั้นเขาอายุเพียง 10 ปี แต่พ่อของเขากลับสนับสนุนเขาในวิธีที่โหดร้าย เขาเติบโตมากับ ‘การใช้ความรุนแรง’ ตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ของเขาจากไป รวมไปถึง ‘การไม่สนับสนุน’ ในสิ่งที่เขาชอบใด ๆ วัยเด็กของ Elon จึงลำบากยิ่งขึ้น เขาถึงขั้นให้สัมภาษณ์ถึงพ่อของตัวเองว่า ‘เป็นคนที่แย่ที่สุด’ บทเรียนในวัยเด็กทำให้เขาเติบโตกลายเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ หลังจากเขาเรียนจบ เขาได้ย้ายไป Silicon Valley เมืองแห่งอนาคตเพื่อปูทางตัวเองสู่สิ่งที่เขารักนั่นก็คือ ‘เทคโนโลยี’ อย่างไรก็ตามใบสมัครงานของเขากลับถูกปฏิเสธโดยบริษัทอินเทอร์เน็ตเพียงแห่งเดียว ณ เวลานั้น และทางออกของเขาก็คือสร้างบริษัทอินเทอร์เน็ตของเขาเองเพื่อมาจ้างตัวเองซะเลย! และบริษัทที่ว่าก็คือ Zip2.com แพลตฟอร์มที่เปิดรับให้ธุรกิจสิ่งพิมพ์เปลี่ยน Offline Content เป็น Digital Content เขาใช้เวลาเพียง 4 ปีในการพัฒนา Zip2 จนถูก Take-Over ในมูลค่าถึง $340 ล้านดอลล่าร์ (10,665,800,000 บาท)
PayPal, Tesla & SpaceX บริษัทเปลี่ยนโลกนำโดยคนบ้า
สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากขาย Zip2.com และได้รับส่วนแบ่งจำนวน $22 ล้านดอลล่าร์ คือ การซื้อ McLaren f1 ซึ่งมีราคาประมาณ $1 ล้านดอลล่าร์ และพังมันเละไม่มีชิ้นดีใน 1 ปีต่อมา… เนื่องจากโดนถามว่ารถคันนี้ทำอะไรได้บ้าง 😂 แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เขารู้ว่าแทนที่จะนำเงินไปซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือย เขาควรเอาเงินไปตั้งบริษัทใหม่ดีกว่า และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐีของโลก เขาก่อตั้ง X.com ในปี 1999 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากตู้เอทีเอ็ม เพราะเขาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการเงินแบบดั้งเดิมเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งต่อมาคือ PayPal แพลตฟอร์มการจ่ายเงินออนไลน์อันดับ 1 ของโลก และมีมูลค่า ณ ปัจจุบันถึง $5 หมื่นล้านดอลล่าร์ (Elon ถูกไล่ออกในฐานะ CEO ในปี 2000) ต่อมาเขามองเห็นถึงภาวะโลกร้อน (Global Warming) ที่รุนแรงขึ้นต่อเนื่อง เขาจึงมีความคิดที่จะสร้างสิ่งที่ไม่ปล่อยก๊าซเสียออกมาสู่โลกที่เขารัก และเป้าหมายต่อไปคือ ‘รถไฟฟ้า’ นั่นเอง อันเป็นที่มาของ Tesla บริษัทที่เขาก่อตั้งในปี 2003 ที่มีมูลค่า ณ ปัจจุบันถึง $6.5 แสนล้านดอลล่าร์ และสิ่งที่บ้าที่สุดที่คน ๆ นี้ทำต้องยกให้กับ SpaceX ที่เขาก่อตั้งในปี 2002 เพราะเพียงเขารู้สึกว่าจรวดอวกาศที่ขายในตลาดมันแพงเกินไป และเขาอยากสร้างมันขึ้นมาในราคาที่ถูกกว่า ซึ่งในปี 2016 SpaceX โด่งดังเป็นพลุแตก เนื่องจาก Elon บอกจุดประสงค์ที่ว่า ‘เขาอยากให้ทุกคนสามารถไปดาวอังคารได้’ ปัจจุบัน SpaceX มีมูลค่าถึง $7.4 พันล้านดอลล่าร์
และนี่คือเรื่องราว จุดเริ่มต้น และการลงทุนของ Elon Musk คนบ้าที่กล้าจะฝัน ชีวิตของเขาอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เขาเลือกที่จะเอาสิ่งนั้นเป็นบทเรียน และเลือกที่จะ ‘ไม่ยอมแพ้’ ต่อสิ่งที่เขารัก จนบทเรียนนั้นนำตัวเขาสู่ ‘ความสำเร็จ’ รวมไปถึง ‘ความบ้า’ ที่กล้าจะทำและกล้าที่จะคิด ลองย้อนกลับไป 20 กว่าปี น้อยคนนักที่จะคิดแบบเขา และนิยาม ‘คนบ้า’ ไม่ได้เกิดจากใครอื่นเลย มันเกิดจากการที่เขาเคยคิดว่าตัวเองเป็นบ้าตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เพราะเขาไม่เคยหยุดคิด ไม่เคยหยุดที่คิดไอเดียต่าง ๆ ออกมา ‘คนบ้า’ คนนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง เขากำลังเดินทางตามความฝันที่อยากจะเปลี่ยนแปลงโลกต่อไป แล้วตัวเราล่ะ? ลองคิดมุมกลับสลับมุมมอง ลองมาเป็น ‘คนบ้า’ แล้วมา ‘เปลี่ยนโลก’ ไปพร้อม ๆ กันเถอะ
Source | https://bit.ly/3t3nwOf, https://bit.ly/2QFqhIj, https://bit.ly/3dYlwm6
Kommentare